ประชาสัมพันธ์


ขอความกรุณาสมาชิกทุกท่านได้สร้างข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษา และใช้ข้อมูลที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ เท่านั้น เพื่อประโยชน์ของทางราชการและตัวสมาชิกเอง
ทางผู้ดูแลระบบขอสงวนสิทธิ์ในการลบข้อมูล ภาพ หรือไฟล์งานของท่าน หากพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่เหมาะสม ขอบคุณครับ


การขยายตัว


การขยายตัว

ในปี
พ.ศ. 2519

ปาปัวนิวกินี
ได้รับสถานะผู้สังเกตการณ์ [9] และตลอดช่วงพุทธทศวรรษ 2510 กลุ่มประเทศสมาชิกได้มีการจัดตั้งโครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างจริงจัง หลังจากผลของการประชุมที่ จังหวัดบาหลี ในปี พ.ศ. 2519 แต่ว่าความร่วมมือดังกล่าวได้รับผลกระทบกระเทือนอย่างหนักในช่วงพุทธทศวรรษ 2520 ก่อนจะได้รับการฟื้นฟูเมื่อปี
พ.ศ. 2534
เนื่องจากไทยเสนอให้มีการจัดตั้ง เขตการค้าเสรีขึ้น ต่อมา
ประเทศบรูไนดารุสซาลาม
ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกเป็นประเทศที่หก เมื่อวันที่ 8 มกราคม
พ.ศ. 2527
ซึ่งห่างจากวันที่บรูไนประกาศเอกราชเมื่อวันที่ 1 มกราคม เพียงสัปดาห์เดียว [10] ต่อมา
เวียดนาม
เข้าร่วมเป็นสมาชิกประเทศที่เจ็ด ในวันที่ 28 กรกฎาคม
พ.ศ. 2538

[11]
ไม่นานหลังจากนั้น
ลาว
และ พม่าได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกประเทศที่แปดและเก้าตามลำดับ ในวันที่ 23 กรกฎาคม
พ.ศ. 2540

[12]
ส่วน กัมพูชามีความประสงค์ที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิก แต่ถูกเลื่อนออกไปจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ จนกระทั่งในวันที่ 30 เมษายน
พ.ศ. 2542
กัมพูชาได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกประเทศที่สิบ หลังจากรัฐบาลกัมพูชามีความมั่นคงแล้ว [12]

[13]
ในช่วงพุทธทศวรรษ 2530 สมาชิกอาเซียนได้มีประสบการณ์ทั้งในด้านการมีประเทศสมาชิกเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงความพยายามในการรวบรวมกลุ่มประเทศให้เป็นหนึ่งเดียวไปอีกขึ้นหนึ่ง ในปี
พ.ศ. 2533
มาเลเซียได้เสนอให้มี ความร่วมมือทางเขตเศรษฐกิจเอเชียตะวันออก ซึ่งประกอบด้วยประเทศกลุ่มสมาชิกอาเซียน
สาธารณรัฐประชาชนจีน

ญี่ปุ่น
และ เกาหลีใต้
[14]
โดยมีเจตนาเพื่อถ่วงดุลอิทธิพลของ สหรัฐอเมริกาซึ่งเพิ่มพูนมากขึ้นใน ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) และภูมิภาค เอเชียโดยรวม [15]

[16]
แต่ว่าข้อเสนอดังกล่าวถูกยกเลิกไป เพราะได้รับการคัดค้านอย่างหนักจากญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา [15]

[17]
แม้ว่าจะประสบความล้มเหลวในด้านดังกล่าว แต่กลุ่มสมาชิกก็ยังสามารถดำเนินการในการรวมกลุ่มประเทศให้เป็นหนึ่งเดียวกันต่อไปได้ใน พ.ศ. 2535 มีการลงนามใช้แผนอัตราภาษีศุลกากรพิเศษที่เท่ากัน (Common Effective Preferential Tariff) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอาเซียนในฐานะที่เป็นฐานการผลิตที่สำคัญเพื่อป้อนสินค้าสู่ตลาดโลก โดยอาศัยการเปิดเสรีด้านการค้าและการลดภาษีและอุปสรรคข้อกีดขวางทางการค้าที่มิใช่ภาษี รวมทั้งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษีศุลกากรเพื่อเอื้ออำนวยต่อการค้าเสรี โดยกฎหมายดังกล่าวเป็นโครงร่างสำหรับ เขตการค้าเสรีอาเซียน หลังจาก วิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย ในปี
พ.ศ. 2540
ข้อเสนอของมาเลเซียถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้งใน จังหวัดเชียงใหม่ หรือที่รู้จักกันว่า
การริเริ่มเชียงใหม่
ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มระหว่างกลุ่มสมาคมอาเซียนและประเทศในเอเชียอีกสามประเทศ คือ จีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ [18] นอกเหนือจากความร่วมมือช่วยเหลือพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกแล้ว อาเซียนยังมีวัตถุประสงค์ในการธำรงรักษาสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค ในวันที่ 15 ธันวาคม
พ.ศ. 2538
มีการลงนาม สนธิสัญญาเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็น เขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ สนธิสัญญาฉบับดังกล่าวเริ่มมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 28 มีนาคม
พ.ศ. 2540
ซึ่งเป็นการห้าม อาวุธนิวเคลียร์ทุกประเภทในภูมิภาค [19] หลังจากปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือในอาเซียน ฉบับที่สอง ( อังกฤษ: Bali Concord II) ในปี
พ.ศ. 2546
กลุ่มประเทศอาเซียนได้ลงนามในความตกลงว่าด้วย ทฤษฎีสันติภาพประชาธิปไตย ซึ่งหมายความว่า ประเทศสมาชิกทุกประเทศมีความเชื่อว่ากระบวนการตามหลักการ ประชาธิปไตยจะทำให้เกิดสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค นอกจากนั้น ประเทศอื่นที่มิได้ปกครองในระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบันต่างก็เห็นว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองที่ประเทศสมาชิกอื่น ๆ ควรใฝ่หา [20]  ผู้นำของประเทศสมาชิก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
มหาเธร์ โมฮัมหมัด
แห่งมาเลเซีย ตระหนักถึงความจำเป็นในการรวมกลุ่มประเทศกันอย่างจริงจัง โดยเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2540 อาเซียนได้เริ่มตั้งก่อตั้งองค์การหลายแห่งในความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว
อาเซียนบวกสาม
เป็นองค์การแรกที่ถูกก่อตั้งขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับจีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ตามด้วย การประชุมเอเชียตะวันออก ซึ่งมีอีกสามประเทศที่เข้าร่วมด้วย คือ
อินเดีย

ออสเตรเลีย
และ นิวซีแลนด์ กลุ่มดังกล่าวมีแผนการที่เป็นรากฐานของ ประชาคมเอเชียตะวันออกในอนาคต ซึ่งร่างขึ้นตามอย่างของ ประชาคมยุโรปซึ่งปัจจุบันสิ้นสภาพไปแล้ว หลังจากนั้น ได้มีการจัดตั้ง กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิอาเซียนขึ้น เพื่อศึกษาผลกระทบทั้งในด้านบวกและด้านลบของนโยบายดังกล่าว รวมไปถึงความเป็นไปได้ในการร่าง กฎบัตรอาเซียนในอนาคต  ในปี
พ.ศ. 2549
กลุ่มอาเซียนได้รับสถานภาพ ผู้สังเกตการณ์สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ
[21]
ซึ่งกลุ่มอาเซียนได้มอบสถานภาพ "หุ้นส่วนการอภิปราย" ให้แก่ สหประชาชาติเป็นการตอบแทน [22] นอกเหนือจากนั้น ในวันที่ 23 กรกฎาคมปีนั้นเอง
โจเซ รามุส-ออร์ตา
นายกรัฐมนตรีแห่ง ติมอร์ตะวันออก ได้ลงนามในความต้องการในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่มอาเซียนอย่างเป็นทางการ และคาดหวังว่าการได้รับสถานภาพผู้สังเกตการณ์เป็นเวลาห้าปีก่อนที่จะได้รับสถานภาพเป็นประเทศสมาชิกอย่างสมบูรณ์ [23]

[24]
 ในปี
พ.ศ. 2550
กลุ่มอาเซียนได้เฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 40 ปีการก่อตั้งกลุ่มอาเซียน และครบรอบ 30 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐอเมริกา [25] ในวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2550 กลุ่มอาเซียนตั้งเป้าที่จะบรรลุข้อตกลงการค้าเสรีทุกฉบับกับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ภายในปี
พ.ศ. 2556
ไปพร้อมกับการก่อตั้ง ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ภายในปี
พ.ศ. 2558

[26]


[27]
ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2550 กลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนได้ลงนามในกฎบัตรอาเซียน ซึ่งเป็นกฎข้อบังคับในการดูแลความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียน และยกระดับกลุ่มอาเซียนให้เป็นองค์การระหว่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
เขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน
มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553 [28]

[29]
นับเป็น เขตการค้าเสรีที่มีประชากรมากที่สุดในโลกและมีมูลค่าจีดีพีคิดเป็นอันดับที่ 3 ของโลก [30]

[31]
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 มีการลงนามความตกลงการค้าเสรีระหว่างภูมิภาคอาเซียน 10 ประเทศ กับนิวซีแลนด์และออสเตรเลีย มีการประเมินว่าความตกลงการค้าเสรีนี้จะเพิ่มจีดีพีใน 12 ประเทศขึ้นมากกว่า 48 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ระหว่าง พ.ศ. 2543-2563 [32]

[33]
ต้นปี พ.ศ. 2554
ติมอร์ตะวันออก
วางแผนจะยื่นจดหมายขอสมัครเข้าเป็นสมาชิกแก่สำนักเลขาธิการอาเซียนในอินโดนีเซีย เป็นประเทศสมาชิกลำดับที่สิบเอ็ดของอาเซียนระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำในกรุงจาการ์ตา อินโดนีเซียแสดงท่าทีต้อนรับติมอร์ตะวันออกอย่างอบอุ่น [34]

[35

Powered by Drupal - Design by artinet